วันที่ 1 | กรุงเทพฯ – อัมมาน วันที่ 27 ต.ค.65 |
21.00 น. | คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยให้การต้อนรับและตรวจเอกสารการเดินทาง ณ เคาน์เตอร์สายการบินรอยัล จอร์แดเนี่ยน ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 9 แถว s |
วันที่ 2 | อัมมาน - เทล อาวีฟ - เซซาเรีย-ไฮฟา - ไทบีเรียส วันที่ 28 ต.ค.65 |
00.25 น. | Q“เหิรฟ้าสู่กรุงอัมมาน"โดย สายการบินรอยัล จอร์แดเนี่ยน เที่ยวบิน RJ183 |
05.10 น. | เดินทางถึง สนามบินนานาชาติควีน อเลีย กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง |
ออกเดินทางสู่ เมืองเทล อาวีฟ (Tel Aviv) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้า พาณิชย์และการท่องเที่ยว ที่มีความนิยมมากที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันที่จริงจะมีชื่อว่า เทล อาวีฟ-จัฟฟา แต่ทั่วๆไปจะเรียกว่า เทล อาวีฟ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1909 ที่บริเวณนอกเมือง ที่เป็นเมืองท่าของเมืองจัฟฟา (Jaffa) ซึ่งมีความรุ่งเรืองในยุคของอาหรับ แต่เทล อาวีฟมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั้งสองเมืองถูกนำมารวมกันในปี ค.ศ.1950 หลังจากที่ตั้งรัฐอิสราเอลได้สองปี และได้ถูกก่อสร้างให้เป็นเมืองสมัยใหม่ และได้รับเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2003 |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองโบราณซีซาเรีย (Caesarea) ซึ่งเป็นเมืองเก่ายุคสมัยสงครามครูเสด สร้างโดยกษัตริย์เฮโรดมหาราช แวะถ่ายรูป คลองส่งน้ำ (Aquaduct) ที่เหลืออยู่ประมาณ 1 กม. พวกโรมันโบราณได้สร้างขึ้นไว้ยาวประมาณ 25 กม. โดยการนำน้ำจืดจากภูเขามาหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณริมทะเลได้ |
เดินทางไปยัง เมืองไฮฟา (Haifa) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาคาร์เมล (Mt. Carmel) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของเขตไฮฟาที่อยู่ทางด้านเหนือและอยู่ติดกับริมทะเลฯ เป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม และเป็นเมืองอันดับที่สามของประเทศ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 270,000 คน ซึ่งผสมผสานกันระหว่างพวกยิวและอาหรับ นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นถิ่นกำเนิด/ศูนย์กลางของศาสนาบาไฮ (Bahai) แวะถ่ายรูปที่ Bahai Garden ที่ถูกสร้างเป็นสวนที่สวยงามด้วยงบประมาณ 50 ล้านดอลล่าร์ และยังได้ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2008 |
หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมืองไทบิเรียส (Tiberias) ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออก เป็นเมืองท่องเที่ยวทางตอนเหนือที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของริมทะเลสาบกาลิลี |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร | ภายในโรงแรม |
พักที่ | KING SOLOMON HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า | ไทบีเรียส |
วันที่ 3 | ไทบิเรียส - นาซาเร็ธ - ทะเลสาบกาลิลี่ - คาเปอร์นาอูม- ไทบีเรียส วันที่ 29 ต.ค.65 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
นำท่าน ล่องเรือในทะเลสาบกาลิลี (Cruise of Galilee) ที่อยู่ใกล้กับที่ราบสูงโกลาน เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความลึกประมาณ 43 เมตร พื้นที่ประมาณ 166 ตร.กม. และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 209 เมตร ให้ท่านได้ชมความสวยงามของธรรมชาติ และการแสดงต่างๆที่จะทำให้ท่านได้รับความสนุกสนานและเพลิดเพลิน |
นำท่านชมโบสถ์ ที่อยู่รอบทะเลสาบกาลิลี่ |
จากนั้น นำท่านเดินทางไปยัง หมู่บ้านทับกา (Tabgha Village) ที่พระเยซูได้เลี้ยงคน 5,000 คนด้วยปลา 2 ตัว และขนมปัง 5 ก้อน |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
นำท่านเดินทางสู่ เมืองคาเปอร์นาอูม (Capernaum) ชม บ้านของปีเตอร์ ซึ่งเป็นสาวกคนแรก ปัจจุบันถูกสร้างเป็นโบสถ์บนบ้านหลังเดิม ที่ซึ่งพระเยซูทำการอัศจรรย์ในการรักษาโรคให้แก่แม่ยายปีเตอร์ ในบริเวณใกล้ๆกัน มีธรรมศาลาเก่าแก่ที่พระเยซูสั่งสอนและรักษาโรคแก่ประชาชน จากนั้น นำท่านเดินทางไปยังริมชายทะเลสาบฯ ที่ซึ่งพระเยซูปรากฏแก่สาวกหลังฟื้นจากความตาย และทำการอัศจรรย์ช่วยสาวกจับปลาได้ 153 ตัว และทรงเรียกปีเตอร์ให้เลี้ยงลูกแกะของพระองค์ ปัจจุบันมี โบสถ์ St.Peter’s Primacy ถูกสร้างครอบเนินดินที่เชื่อว่าเป็นที่ที่พระเยซูปิ้งปลาคอยสาวกอยู่ |
จากนั้น นำท่านเดินทางต่อไปยัง ภูเขาบีทติจูดส์ (Mt. of Beatitudes) ให้ท่านได้ชม โบสถ์ 8 เหลี่ยม เป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูสอนสาวกเรื่องการอธิษฐาน ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย …. |
นำท่านเดินทางสู่ เมืองนาซาเร็ธ (Nazareth) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา นำท่านชมสถานที่ที่ทำการป่าวประกาศ (The Church of the Annunciation) ซึ่งถูกสร้างครอบบ้านนางมารีไว้ สถานที่ซึ่งนางมารีได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ว่านางจะให้กำเนิดพระเยซู และเดินต่อไปยังบ่อน้ำที่มีอายุนานกว่า 2,000 ปี ที่พระนางมารีได้เคยมาตักเอาไปใช้ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร | ภายในโรงแรม |
พักที่ | KING SOLOMON HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า | ไทบีเรียส |
วันที่ 4 | ไทบีเรียส-เจริโก้-ทะเลสาบเดดซี วันที่ 30 ต.ค.65 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
นำท่านเดินทางสู่ ริมแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ (Baptismal Site of Yardenit) ซึ่งสาวกจอห์นได้ทำพิธีล้างบาป และได้ตั้งชื่อให้ กับพระเยซู ท่านสามารถรับบัพติศมาเพื่อเป็นการระลึกถึง หรือสำหรับผู้ที่เพิ่งตัดสินใจรับบัพติศมา (หากท่านใดสนใจกรุณาติดต่อผู้นำทัวร์ เพื่อประสานงานกับศิษยาภิบาลที่นำคณะ สำหรับการใช้เสื้อคลุม และขอใบประกาศนียบัตร) |
นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองเจริโก้ (Jericho) ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือในเขตเวสท์แบ้งค์ ที่ติดกับแม่น้ำจอร์แดนและอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบเดดซี มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน ซึ่งส่วนมากจะเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ เจริโกได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในอดีตได้มีหลักฐานที่ถูกพบว่ามีคนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณนี้มาแล้วประมาณกว่า 9,000 ปีก่อน คริสตกาล |
นำท่าน นั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ภูเขาเทมพเทชั่น (Mt. of Temptation ) ซึ่งมีความสูงประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเล ณ สถานที่แห่งนี้จะมีถ้ำซึ่งเป็นที่ที่พระเยซู ได้เคยมานั่งวิปัสสนาและอดอาหารเป็นเวลา 40 วัน และ 40 คืน ในระหว่างที่พวกซาตานมารบกวน ให้ท่านได้ ชมวิวเมืองเจริโก้จากบนยอดเขา ได้เวลาเดินทางกลับลงมา |
จากนั้น ให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ซื้อของฝากผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโคลน Dead Sea และของที่ระลึกอื่น ๆ (ไม่ต้องเสียภาษี) |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำที่สุดของโลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลทั่วไปกว่าประมาณ 400 เมตร และน้ำในทะเลนี้เค็มกว่าทะเลปกติถึง 10 เท่าและยังมีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น สารไอโอดีน 10 เท่า แมกนีเซียม 15 เท่า และโบรมีน 20 เท่า จึงทำให้เกิดความหนาแน่นมาก จนท่านสามารถลอยตัวได้โดยไม่จม แม้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น ให้ท่านเล่นน้ำและหมักโคลนตามอัธยาศัย (กรุณาเตรียมชุดเล่นน้ำ ผ้าเช็ดตัวรองเท้าฟองน้ำไปด้วย) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร | ภายในโรงแรม |
พักที่ | DAVID DEAD SEA HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า | ทะเลสาบเดดซี |
วันที่ 5 | ทะเลสาบเดดซี - ป้อมมาซาด้า - เยรูซาเล็ม วันที่ 31 ต.ค.65 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
นำท่านออกเดินทางเรียบฝั่งทะเลสาบเดดซี เพื่อไปยัง ป้อมปราสาทมาซาด้า (Masada Fortress) ที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ บนยอดเขาสูงประมาณ 120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นป้อมปราสาทและอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์เฮโรด มหาราช ที่ได้สร้างขึ้นและเป็นที่สุดท้ายของชาวยิว 950 คนที่ขึ้นไปอาศัยอยู่ เพื่อต่อต้านการรุกรานของพวกโรมันด้วยการขนอิฐและหินขึ้นไปก่อสร้างอาคาร เพื่อเป็นที่พักอาศัยของพวกชาวยิว และยังสามารถนำน้ำขึ้นไปกักเก็บไว้ใช้อีกด้วย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2001 ให้ท่านนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอดเขา เพื่อชมสถานที่สำคัญต่างๆ มีห้องอาบน้ำ ขนาดใหญ่เป็นแบบอบซาวน่า ฯ |
จากนั้น นำท่านเดินทางข้ามเขตแดนเยรูซาเล็ม สู่ เมืองเบธเลเฮ็ม (Bethlehem) เป็นดินแดนที่เก่าแก่ และถูกครอบครองโดยพวกปาเลสไตน์ ตั้งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มทางด้านใต้ ประมาณ 10 กม. ในอดีตเป็นบ้านเกิดของกษัตริย์เดวิด (King David) ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองเยรูซาเล็ม และยังเป็นเมืองที่พระเยซูมีประสูติกาลจากพระแม่มารี โดยที่โจเซฟและพระนางได้เดินผ่านมา และพักค้างคืนภายในถ้ำเลี้ยงสัตว์ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านแวะถ่ายรูปกับกำแพงกั้นระหว่างเขต West Bank กับเขตอิสราเอล โดยความคิดริเริ่มการสร้างกำแพงนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 และเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1994 แต่ปัจจุบันนี้กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นความขัดแย้งระหว่างคนสองเชื้อชาติได้กลายเป็นที่รังสรรค์งานศิลปะสมัยใหม่ที่เรียกว่า Graffiti มากมาย |
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ โบสถ์แห่งการประสูติ (The Church of Nativity) ที่สร้างครอบสถานที่ประสูติของพระเยซู ถูกสร้างโดย พระนางเฮเลน่า (Helena) ซึ่งเป็นพระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นสถานที่ที่ถูกเก็บรักษาให้รอดพ้นจากการถูกทำลายจากผู้ครอบครองของหลายชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งประตูทางเข้าโบสถ์นี้จะเล็กกว่าปกติ และผิดสัดส่วนจากขนาดของตัวอาคาร เพราะว่าภายหลังดินแดนแห่งนี้ถูกครอบครองโดยพวกครูเสดก็ได้มีการต่อเติม และทำประตูให้มีขนาดเล็กลงสำหรับคนต้องก้มเดินเข้าไปได้เพียงคนเดียว เพื่อเป็นการป้องกันมิให้พวกโจรอาหรับขี่ม้าเข้ามาปล้น ภายในโบสถ์มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ทางเดินที่ประดับลวดลายของโมเสค และภาพสีน้ำมันตามผนังตลอดจนเพดาน |
นำท่านออกเดินทางไปยัง กรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem) ที่อยู่ห่างประมาณ 45 กม.ทางด้านตะวันออก และตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของทะเลสาบเดดซี เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1949 ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล แต่ในขณะนั้นกรุงเยรูซาเล็มได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ฝั่งด้านตะวันตกเป็นของอิสราเอล ส่วนฝั่งตะวัน ออกและบริเวณเมืองเก่าจะเป็นของจอร์แดน จนกระทั่งปี ค.ศ.1967 หลังจากเกิดสงคราม 6 วัน (The Six Days War) ระหว่างอิสราเอลและจอร์แดน อิสราเอลจึงได้เมืองเยรูซาเล็มกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองทั้งหมดเป็นเมืองเดียวกัน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร | ภายในโรงแรม |
พักที่ | HOLY LAND HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า | เยรูซาเล็ม |
วันที่ 6 | เยรูซาเล็ม – อีน คาเร็ม – เยรูซาเล็ม วันที่ 01 พ.ย.65 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
นำท่านเดินทางสู่ ตัวเมืองเก่าเยรูซาเล็ม (Old City) ให้ท่านได้ชม กำแพงร้องไห้ (Wailing Wall) ซึ่งเป็นกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่สองที่เหลืออยู่หลังจากถูกพวกโรมันทำลาย ปัจจุบันชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา จะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาสวดมนต์ อธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น และจากลานหน้ากำแพงศักดิ์สิทธิ์นี้ จะมีทางเดินเลาะเลียบทางขวาที่ไต่ระดับสูงขึ้นไปสู่ ภูเขาวิหาร (Temple Mount ) อันเป็นที่ตั้งของมหาวิหาร ที่ได้ถูกทำลายไปถึง 2 ครั้ง จะเหลืออยู่ก็แค่บางส่วนของกำแพง ฯ ซึ่งในปัจจุบันภูเขาวิหาร เป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของศาสนาอิสลาม เพราะว่าในช่วงปี ค.ศ. 688 กาหลิบโอมาร์ ที่เป็นผู้นำชาวมุสลิม ได้นิมิตประหลาดว่าภูเขาวิหารนี้เป็นสถานที่ที่ศาสดาโมหะหมัดได้เสด็จสู่สวรรค์ โดยประทับยืนบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเชื่อว่าเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ ส่วนชาวคริสต์เชื่อว่า พระเยซูได้ถูกซาตานนำมาประทับบนก้อนหินนี้ เพื่อให้ทอดพระเนตรนครเยรูซาเล็ม ในขณะที่จำศีลอดอาหาร และชาวยิวเชื่อว่า อับราฮัมได้นำลูกชายมาฆ่า เพื่อบูชาพระเจ้าบนก้อนหินก้อนนี้ ต่อมาจึงได้สร้างสุเหร่าไม้ขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ โดยคร่อมก้อนหินศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ ซึ่งเรียกว่า สุเหร่าแห่งโอมาร์ (Mosque of Omar) แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกสร้างเป็นสุเหร่าทรง 8 เหลี่ยมที่มีหลังคาทรงกลม ทำด้วยทองบริสุทธ์ 24 กระรัต โดยได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดน และมีชื่อเรียกว่า โดมแห่งหินผา (Dome of the Rock) และบริเวณผนังด้านในประดับด้วยโมเสคลวดลายงดงามมาก (ไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ ) |
จากนั้น นำท่านเดินเท้าไปตาม ถนนเวีย โดโลโรซ่า (Via Dolorosa) เส้นทางที่พระเยซูถูกไต่สวนที่ศาลปรีโทเรีย จนถูกบังคับให้แบกไม้กางเขนไปสู่โกลโกธา และตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขน ตามเส้นทางทั้งหมด 14 แห่ง ซึ่งในปัจจุบันเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ (Church of The Holy Sepulcher) หรือ สุสานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่สกัดไว้ในศิลาที่ใช้เก็บพระศพของพระเยซูหลังจากเชิญพระศพลงมาจากไม้กางเขน |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองอีน คาเร็ม (Ein Karem) ที่มีความหมายว่า น้ำธรรมชาติสำหรับไร่องุ่น อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเยรูซาเล็ม และเป็นเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากเบธเลเฮ็ม คือ เมืองที่จอห์นแห่งแบพติสเกิดและนอกจากนั้นก็ยังมีโบสถ์วิหารที่มีความสำคัญหลายแห่งสำหรับผู้ที่เป็นชาว คริสเตียน ให้ท่านได้ชม อนุสรณ์สถานยาด วาเช็ม (Yad Vashem) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชาวยิวที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามโลก รูปภาพต่างๆ ที่ถ่ายจากค่ายกักกันต่างๆ ในยุโรป แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของทหารนาซี ในความพยายามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของชนชาติยิว ซึ่งเป็นชนชาติของพระเจ้า ทำให้ตระหนักถึงพระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารในโรงแรม |
พักที่ | HOLY LAND HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า | เยรูซาเล็ม |
วันที่ 7 | เยรูซาเล็ม – อัมมาน -ซิตี้ทัวร์ – ตลาดเก่า วันที่ 02 พ.ย.65 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
นำท่านชม ตลาดเก่า (Old Market) และ ตลาดสดเยฮูด้า(Yehuda Market )ให้ ท่านเยี่ยมชมบรรยากาศพื้นเมืองของตลาดและให้อิสระแก่ท่านในการช๊อปปิ้งของฝาก ของที่ระลึก ให้เต็มที่ นำท่านเดินทางกลับสู่ประเทศ จอร์แดน โดยผ่านด่านที่ตั้งอยู่ที่ชายแดนระหว่างประเทศอิสราเอลและประเทศจอร์แดน และจะต้องตรวจเอกสารอีครั้งเพื่อที่จะข้ามประเทศไปยังประเทศจอร์แดน โดยเดินทางข้ามประเทศได้โดยใช้สะพาน ALLENBY BRIDGE อันมีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศและเมื่อข้ามไปยังประเทศจอร์แดน แล้วท่านจะต้องผ่านการตรวจเอกสารอีกรอบเพื่อยืนยันในการเข้า หลังเสร็จขั้นตอนต่างๆแล้ว จากนั้นเดินทางกลับสู่อัมมาน |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
นำท่านชมรอบเมืองหลวงกรุงอัมมาน เมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนภูเขา 7 ลูก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก กว่า 6,000 ปี ผ่านชมย่านเมืองเก่า, เมืองใหม่, ย่านธุรกิจ, ตลาดใจกลางเมือง, ย่านคนรวย ฯลฯ ขึ้นชม ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน (CITADEL) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดสังเกตเหตุบ้าน การเมืองต่างๆ รอบเมือง ชมบริเวณภายในป้อมปราการ มีสิ่งปลูกสร้างมากมายด้วยกันศิลปแบบโรมัน และอิสลาม ชมบ่อเก็บน้าขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้ในช่วงที่ชาวโรมันเข้ามามีบทบาทในประเทศจอร์แดน อยู่ภายในบริเวณป้อมปราการอีกเช่นกัน และนำชมพิพิธภัณฑ์ เชิญอิสระถ่ายรูปตรงจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองแห่งนี้โดยโดยมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่สร้างอยู่บนเทือกเขาเป็นฉากหลัง นำชมโรงละครโรมัน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจอร์แดน จุผู้ชมได้ถึง 6,000 คน และ ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง อันแปลกตายิ่งนัก นำชมพิพิธภัณฑ์ Folklore Museum มีการจัดแสดงวิถีชีวิตและการแต่งกายความเป็นไปและประเพณี ต่างๆของชาวอาหรับในยุคต้นๆ อิสระในการช้อปปิ้งภายในห้างสรรพสินค้า MECCA MALL ซึ่งมีสินค้าให้ท่านเลือกมากมายเป็นของฝากจากจอร์แดน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (อาหารจีน) |
ท่านออกเดินทางไปยังสนามบิน เพื่อทำการตรวจเอกสารในการเดินทาง |
วันที่ 8 | อัมมาน – กรุงเทพฯ วันที่ 03 พ.ย.65 |
02.15 น. | Q“เหิรฟ้าสู่กรุงเทพฯ” สายการบินรอยัล จอร์แดเนี่ยน เที่ยวบินที่ RJ182 |
15.15 น. | เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิ์ภาพ |