เปิดทำการ จ - ศ : 08.30 - 22.00 น. ส - อา : 09.00 - 22.00 น.
eTravelWay.com logo
Add Friend Add Friend
ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นดีดี

เพิ่มเพื่อน LINE รับข่าวสาร โปรโมชั่น
@etravelway

รับโปรโมชั่นดีดี
Add Friend
เฉพาะคอทัวร์โปรไฟไหม้
ทัวร์ถูกคุณภาพคุ้มค่า
ทัวร์หลุดจอง
เพิ่มเพื่อน LINE ทัวร์ไฟไหม้
@etravelway.fire

เฉพาะคอทัวร์โปรไฟไหม้
แชทผ่าน Facebook ติดต่อผ่าน Facebook
fb.me/etravelway

สอบถามทาง Facebook

ทัวร์โมรอคโค

 รหัส : Z8672
เดินทางโดย : EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์
โรงแรม : 5 ดาว |  จำนวนวัน : 11 วัน 8 คืน
: สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 - เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส - ชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน - นั่งรถ 4×4 สู่เมืองเมอร์ซูก้า - ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า - ป้อมไอท์เบนฮาดดู - พระราชวังบาเฮีย - สวนจาร์ดีน มาจอแรล - ชมการแสดง Fantasia - บ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง - สุเหราแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 - ช้อปปิ้ง Outlet Casablanca / พักหรู 5 ดาวทุกคืน นอนเต้น Luxury Camp สุดว้าว
ไม่รวม ทิปหัวหน้าทัวร์แล้วแต่ความประทับใจ และน้ำใจจากท่าน - ค่าลงทะเบียน Thailand Pass - ค่าทำ Vaccine Passport - ไม่มีเจ้าหน้าที่รับ-ส่งเอกสารวีซ่า โปรดส่งเอกสารทาง EMS ตรงถึง Center แผนกวีซ่า

กรุงเทพฯ(สนามบินสุวรรณภูมิ)
แวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ - สนามบินเมืองคาซาบลังก้า - ราบัต - ป้อมอูไดยะ - สุเหร่าฮัสซัน - สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5
เมืองเชฟเชาเอิน - เมดิน่าของเมืองเชฟเชาเอิน
เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส - เมืองเมคเนส - ประตูบับมันซู - เมืองเฟส - ชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน - ประตูพระราชวังแห่งเฟส - ชุมชนชาวยิว
เมืองอิเฟรน - เมืองมิเดลท์ - เมืองเออร์ฟูด์ - นั่งรถ 4×4 สู่เมืองเมอร์ซูก้า - พัก Luxury Oasis Camp Merzouga
ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า - เมืองเออร์ฟูด์ - ทินเฮียร์ - ทอดร้ากอร์จ - วอซาเซท
วอซาเซท - ป้อมทาเริท - ป้อมไอท์เบนฮาดดู - มาราเกช
มาราเกช - พระราชวังบาเฮีย - สวนจาร์ดีน มาจอแรล - มัสยิดคูตูเบีย - จัตุรัสกลางเมือง - ชมการแสดง Fantasia
มาราเกช - แอลฌาดีดา - บ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง - คาซาบลังก้า - สุเหราแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 - ช้อปปิ้ง OUTLET CASABLANCA
คาซาบลังก้า - ไอน์เดียบ - สนามบินเมืองคาซาบลังก้า - แวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ
กรุงเทพฯ(สนามบินสุวรรณภูมิ)
แนะนำการเดินทางเข้าโมรอคโค : ผู้เดินทางต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR ที่เป็นลบ พร้อมเอกสารรับรองฉบับภาษาอังกฤษ ก่อนเที่ยวบินเดินทางออกจากไทย ไม่เกิน 48 ชม. (ทั้งนี้มีข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงทุกวันกรุณาเช็คอัพเดท)
เดินทาง :
รายการนี้ยังไม่มีพีเรียดเดินทาง
Download PDF

แกรนด์โมรอคโค 11 วัน 8 คืน

เนื่องจากข้อกำหนดประเทศโมรอคโค ผู้เดินทางเข้าประเทศโมรอคโคทุกท่านต้องแสดงผลตรวจ PCR ที่เป็นลบ

ก่อนเที่ยวบินเดินทางออกจากไทยไม่เกิน 48 ชม. (ทั้งนี้มีข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงทุกวันกรุณาเช็คอัพเดท)

ไม่รวม ทิปหัวหน้าทัวร์แล้วแต่ความประทับใจ และน้ำใจจากท่าน

ค่าลงทะเบียน Thailand Pass - ค่าทำ Vaccine Passport

ไม่มีเจ้าหน้าที่รับ-ส่งเอกสารวีซ่า โปรดส่งเอกสารทาง EMS ตรงถึง Center แผนกวีซ่า

วันที่ 1 กรุงเทพ(สนามบินสุวรรณภูมิ)

21.00 น. คณะพร้อมกัน ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น4 สนามบินสุวรรณภูมิเคาน์เตอร์สายการบินเอมิเรตส์(EK) พบเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก

วันที่ 2 คาซาบลังก้า - ราบัต - ป้อมอูไดยะ - สุเหร่าฮัสซัน - สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5

01.15 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินเมืองคาซาบลังก้า ประเทศโมรอคโค โดยสายการบินเอมิเรตส์(EK) เที่ยวบินที่ EK385 (01.15 - 04.45) / EK751 (07.30 - 12.55) ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 18.40 ชั่วโมง (รวมเวลาแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง

12.55 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองคาซาบลังก้า ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง) หลังผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองแล้ว

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง เมนู!!! ซีฟู้ด

นำท่านเดินทางสู่เมืองราบัต(Rabat) (ระยะทาง 90 กิโลเมตร) เมืองแห่งอารยะธรรมโบราณ ตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศใต้ติดประเทศมอริเตเนีย และทิศตะวันออกติดประเทศแอลจีเรีย โมรอคโค เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส และสเปน เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวยิว และชนพื้นเมืองชาวเบอร์เบอร์ ด้วยเหตุนี้โมรอคโคจึงร่ำรวยด้วยศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปะของแขกมัวร์ที่ประณีตงดงาม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2012

นำท่านชมเมืองราบัต(Rabat) เมืองหลวงแห่งโมรอคโค นำชมป้อมอูไดยะ(Oudayas Kasbah) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในท่านสามารถเดินชมเมดิน่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น

จากนั้นนำท่านชมสุเหร่าฮัสซัน หรือ สุเหร่าหลวง(Hassan Mosque) ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่าเพื่อประกอบศาสนกิจ นำท่านชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5(Mausoleum of Mohammed V) พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่ เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือ แต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

พักที่ Hotel The View, Rabat หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 3 ราบัต - เชฟเชาเอิน

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ เมืองเชฟเชาเอิน(Chefchaouen) (ระยะทาง 260 กิโลเมตร) เมืองที่มีชายแดนติดกับสเปนด้วยความที่รูปร่างลักษณะของยอดเขาของที่นี่เหมือนกับเขาแพะ (Chaoua) ดังนั้นชื่อเมืองจึงมีความหมายที่ตรงตัวเลยว่า “มองที่เขาแพะนั่นซิ” ด้วยลักษณะเมืองที่อยู่บนภูเขา จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มานี่ ต่างได้ลิ้มรสของความเงียบสงบ บรรยากาศอันโรแมนติก

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านชมเมดิน่าของเมืองเชฟเชาเอิน(Chefchaouen) บ้านเรือนตกแต่งด้วยอาคารสีฟ้า ชม Plaza Uta El - Hamman ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและคาเฟ่ในบรรยากาศยามเย็น ที่นี่ยังมีชื่อเสียงทางด้านช้อปปิ้งอีกด้วย ที่มีทั้งสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านที่หาไม่ได้จากไหนในโมรอคโค เช่น เสื้อผ้าขนสัตว์ รวมทั้งชีสที่ทำจากแพะ

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

พักที่ Hotel Dar Ba Sidi & Spa, Chefchaouen หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 4 เชฟเชาเอิน - เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส - เมคเนส - กำแพงเมืองประตูบับมันซู - เฟส

ป้อมปราการ - ประตูพระราชวังแห่งเฟส

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส(Romance City of Volubilis) (ระยะทาง 165 กิโลเมตร) ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ.1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต จากวิหารเทพเจ้าของเมืองโบราณโวลูบิลิส สามารถมองเห็นเมืองมูเลไอดริส (Moulay Idriss) เมืองศูนย์กลางศาสนาอันศักดิสิทธิของชาวมุสลิมในโมรอคโค ทุกๆปี ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อ ประกอบพิธีทางศาสนา เปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดิอาระเบีย

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองเมคเนส(Meknes) (ระยะทาง 30 กิโลเมตร) เมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล แห่งราชวงศ์อะลาวิท กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในศตวรรษที่ 17 ด้วย ทำเลที่ตั้งมีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง จึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ ตัวเมืองมีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู นำชมประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านเดินทางสู่ เมืองเฟส(Fes) (ระยะทาง 65 กิโลเมตร) เมืองโบราณตั้งอยู่บนพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ (Rif Mountain) ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง มีแม่น้ำเฟสไหลผ่านกลางเมือง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ(เมษายน - พฤษภาคม) จะเห็นดอกไม้ป่าสีสันสดใสขึ้นตลอดข้างทาง และที่นี่เป็นเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศของเมืองโบราณที่ผู้คนยังใช้ลาเป็นพาหนะและบรรทุกของกันอยู่ ท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าแก่ที่สุดในบรรดาเมืองหลวงเก่าทั้งสี่แห่ง องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของเมืองเฟสเป็นเมืองมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ.1981

นำท่านชม เมืองเฟส(Fes) เมืองหลวงเก่าในศตวรรษที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค

นำท่านขึ้นชมจุดชมวิวบนป้อมปราการ(Fes borj south) แห่งราชวงศ์ซาเดียน

นำท่านชมประตูพระราชวังแห่งเฟส(The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดน แห่งพันธสัญญา (ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก

ชมชุมชนชาวยิว(The Synagouge) ที่มาอาศัยอยู่ตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 7 ซึ่งกระจายอยู่ทุกเมืองในอดีต ชาวยิวเป็นชนชาติที่ขยันฉลาดส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพ่อค้า จึงทำให้สุลต่านและกษัตริย์ในอดีตนำชาวยิวมาเป็นบริวารอยู่โดยรอบวัง เพื่อการเก็บภาษีจากการค้าได้ง่ายขึ้น นำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเมืองเฟส ผ่านประตู(Bab Bou Jeloud) ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารจีน

พักที่ Hotel Fes Marriott Jnan Palace หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 5 เฟส - อิเฟรน - มิเดลท์ - เออร์ฟูด์ - เมอร์ซูก้า - ทะเลทรายซาฮาร่า

เช้า รับประทานอาหารเช้า แบบกล่องจากโรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน(Ifrane) (ระยะทาง 70 กิโลเมตร) เมืองที่ความสูงประมาณ 1,650 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่พักตากอากาศ ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้ ในช่วง ค.ศ. 1930 บางครั้งเรียกเมืองแห่งนี้ว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค

นำท่านชมเมืองอิเฟรน(Ifrane) ได้รับฉายา “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค” บ้านเรือนส่วนใหญ่จะมีหลังคาสีแดง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองอิเฟรน เมืองตากอากาศที่มีสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน ผ่านชมเส้นทางพาดผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมาเป็นเวลานาน ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้งเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมิเดลท์(Midelt) (ระยะทาง 140 กิโลเมตร) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอตลาส เมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ ของโมรอคโค

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านเดินทางสู่เขตทะเลทรายซาฮาร่า เมืองเออร์ฟูด์ (Erfoud) (ระยะทาง 210 กิโลเมตร) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอาระเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้งแต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดส์(Dades) ซึ่งแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม

จากนั้นนำท่านออกเดินทางโดย รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (4×4) พร้อมกระเป๋าสัมภาระใบเล็กไว้เพื่อนำไปใช้สำหรับการพักในทะเลทราย) สู่ เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง 50 กิโลเมตร) เมืองในทะเลทรายซาฮาร่า ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลของหอยและแมงกะพรุนโบราณในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

พักที่ Luxury Oasis Camp Merzouga เปิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่ พักเต้นท์แคมป์สไตล์ชาว

เบดูอิน สัมผัสบรรยากาศที่พักท่ามกลางผืนทะเลทรายซาฮาร่าอันกว้างใหญ่ เพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืนของทะเลทรายซาฮาร่าและชมดวงดาวบนท้องฟ้า

วันที่ 6 ทะเลทรายซาฮาร่า - ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้น - ทินเฮียร์ - ทอดร้ากอร์จ - วอซาเซท

05.00 น. นำทุกท่านขี่อูฐไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า

เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทราย มีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ สมควรแก่เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านนั่งรถ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4×4) ออกจากทะเลทรายซาฮาร่ามุ่งหน้าสู่เมืองเออร์ฟูด์(Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชคันเดิม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองทินเฮียร์(Tinguir) (ระยะทาง 200 กิโลเมตร) ชมโอเอซิสทินเฮียร์ ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำหรือลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท ผ่านหุบเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม

จากนั้นเดินทางสู่ทอดร้ากอร์จ(Todra Gorges) โกรกธารที่มีโขดผาสูง 985 ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำโทดร้า ถือว่าเป็นโกรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมรอคโค ชมความงดงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส โดยมี ลำน้ำใส ๆ ที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา ยังเป็นสถานที่ปีนหน้าผาสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเสี่ยงภัย

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านเดินทางสู่เมืองวอซาเซท(Ouarzazate) (ระยะทาง 170 กิโลเมตร) ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ.1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร เมืองวอซาเซท จึงถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอ ภาพยนตร์ อาทิ และมีการพัฒนาพื้นที่ใน ทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การขี่มอเตอร์ไซด์ ขี่อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย สำหรับในฤดูหนาว - ฤดูใบไม้ผลิ (พ.ย. - เม.ย.) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว เมืองวอซาเซทอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน จากนั้นเดินทางบนเส้นทางถนนแห่งคาชบาห์ หรือป้อมปราการนับพัน ที่ได้รับการขนานนาม เนื่องจากตลอดสองข้างทางจะมีคาชบาห์น้อยใหญ่หลายร้อยแห่งเรียงรายสุดลูกหูลูกตาตามถนนดังกล่าว วอซาเซท เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ จุดกึ่งกลางแห่งนี้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

พักที่ Hotel Riad Ksar Ighnda หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 7 วอซาเซท - ป้อมทาเริท - ไอท์เบนฮาดดู - มาราเกช

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านชม เมืองวอซาเซท(Ouarzazate) ถ่ายรูปกับ

ป้อมทาเริท (Kasbah Taourirt) เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน พระราชวังของตระกูลกลาวี (Glaoui Palace) ผู้ปกครองมาราเกซ ซึ่งยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในยุคของตระกูล (Glaoui) ที่นี่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ซึ่งองค์การยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด

นำทางเดินทางสู่ เมืองไอท์เบนฮาดดู(Ait Ben Haddou) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมาราเกช เส้นทางข้ามเทือกเขาไฮแอทลาส ทางคดเคี้ยวกับภูเขาสลับซับซ้อนสลับกับทุ่งเกษตรแบบขั้นบันได เพลินตากับสีสัน วิถีชีวิตของคนท้องถิ่น

นำท่านชมเมืองไอท์เบนฮาดดู(Ait Ben Haddou) เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์เบนฮาดดู(Kasbash of Ait Ben Haddou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านเดินทางสู่ เมืองมาราเกช (Marakesh) (ระยะทาง 190 กิโลเมตร) เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้ เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของประเทศโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัล โมราวิดช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็น ได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพูอาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จึงได้ สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ มีเวลาให้ท่านได้อิสระเดินเล่นชมเมือง สัมผัสมนต์เสน่ห์ของเมือง

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารจีน

พักที่ Hotel Movenpick Mansour Eddahbi หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 8 มาราเกช - พระราชวังบาเฮีย - สวนจาร์ดีน มาจอแรล - มัสยิดคูตูเบีย - จัตุรัสกลางเมือง

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านชมพระราชวังบาเฮีย(Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและ ตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก

นำท่านชมสวนจาร์ดีน มาจอแรล(Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์ แห่งปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อนชม สวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้า และสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสาแจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน

นำท่านชมมัสยิดคูตูเบีย(Koutoubia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ หอขานละหมาดมีความสูง 70 เมตร นำชมจัตุรัสกลางเมือง(Djemaa El fna Square market) ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคารร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน ให้ท่านได้เดินเล่นถ่ายภาพความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝากของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆได้ที่ ตลาดเก่าที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารพื้นเมือง พร้อมชมการแสดง Fantasia ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับ ความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมรอคกัน ที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารและพร้อมชมการแสดง พื้นเมือง

พักที่ Hotel Movenpick Mansour Eddahbi หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 9 มาราเกช - แอลฌาดีดา - บ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง - คาซาบลังก้า

สุเหราแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 - ช้อปปิ้ง

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

นำท่านเดินทางเลาะเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกสู่ เมืองแอลฌาดีดา(El Jadida) (ระยะทาง 230 กิโลเมตร) เดิมชื่อ มาซากัน (Mazagan) เป็นภาษาโปรตุเกส เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บน อ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติก เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศโมรอคโคที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียน ต่อมาปี ค.ศ.1502 ชาวโปรตุเกสขึ้นฝั่งที่นี่และได้สร้างป้อมปราการ เรียกว่า El Brijia El Jaida หลังจากมีการสร้างเมืองขึ้น ในปีค.ศ. 1506 ได้เรียกเมืองว่ามาซากัน ซึ่งกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของชาวโปรตุเกส ในปี ค.ศ.1562 ป้อมถูกโจมตีโดยโดยชาวอาหรับแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างปี ค.ศ.1580 - 1640 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปน และกลับมาถูกปกครองโดยชาวโปรตุเกสอีกครั้ง ชมสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพล ระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมรอคโค ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2004

นำท่านชมบ่อเก็บน้ำดื่มใต้ดินประจำเมือง นอกจากนั้นที่นี่ยังใช้เป็นคุกใต้ดินที่เคยใช้เป็นที่คุมขังของทาสในสมัยโปรตุเกส และเป็นคลังเก็บอาวุธสงคราม

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง

นำท่านเดินทางสู่เมืองคาซาบลังก้า(Casablanca) (ระยะทาง 100 กิโลเมตร) มีความหมายว่า บ้านสีขาว คำว่า ‘คาซา’ แปลว่า บ้าน และ ‘บลังกา’ แปลว่า สีขาว เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า ‘ราชอาณาจักรโมรอคโค’ ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศโมรอคโคที่ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ 5 ล้านคน

นำท่านเข้าชมสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Mosque Hassan II) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่า อันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติ ศาสนกิจเสร็จแล้ว

นำชมเมืองคาซาบลังก้า โบถส์คริสเตียน (The Church of our ladies of Lourdes) ภายในมีภาพกระจกสีสวยงาม แสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับศาสนา

นำท่านช้อปปิ้งที่ OUTLET CASABLANCA ซึ่งประเทศโมรอคโคนั้น แบรนด์ ZARA เป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อมากๆ เนื่องจาก อมาซิโอ ออเตกา (Amancio Ortega) ผู้ที่ก่อตั้งแบรนด์ ZARA มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกชาวสเปน ซึ่งสเปนประเทศเพื่อนบ้านต่างทวีปกับโมรอคโค ดังนั้นประเทศโมรอคโคจึงมี OUTLET ZARA หลายแห่ง ซึ่งนอกจากแบรนด์ ZARA ก็ยังมี แบรนด์อื่นๆ ชั้นนำอีกหลากหลายแบรนด์ ให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้ง

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารไทย

พักที่ Hotel Four Seasons Casablanca หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 10 คาซาบลังก้า - ไอน์เดียบ - สนามบิน

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม

จากนั้นนำท่านผ่านชมไอน์เดียบ(Ain Diab) เป็นย่านตากอากาศริมทะเลริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นถิ่นพำนักของผู้มีฐานะทางสังคม รวมทั้งนักแสดงดาราชื่อดังของฮอลลีวู้ดบางรายก็มีบ้านพักอยู่แถบนี้ด้วย นอกจากจะมีชายหาดสำหรับพักผ่อนแล้วยังมีภัตตาคารหรูหราหลายระดับตามความสามารถในการจ่าย สถานที่เล่นกีฬา สระว่ายน้ำคอร์ทเทนนิส สนามวอลเลย์บอล และแม้แต่ดีสโกเธคก็มีบริการ

ได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองคาซาบลังก้า เพื่อตรวจเช็คเอกสารการเดินทางและสัมภาระเตรียมตัวเดินทางกลับ

14.45 น. ออกเดินทางจากเมืองคาซาบลังก้า กลับกรุงเทพฯ โดยสายการบินเอมิเรตส์(EK) เที่ยวบินที่ EK752 (14.45 - 01.15(+1)) / EK384 (02.50 - 12.15) ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 14.30

ชั่วโมง (รวมเวลาแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) บริการอาหาร

และเครื่องดื่มบนเครื่อง

วันที่ 11 กรุงเทพ(สนามบินสุวรรณภูมิ)

12.15 น. เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ

หน้าแรก | จองโรงแรม | ตั๋วเครื่องบินในประเทศ | ตั๋วเครื่องบินต่างประเทศ | ทัวร์ไทย | ทัวร์ไฟไหม้ | เรือสำราญ | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อเรา | นโยบายความเป็นส่วนตัว
Copyright © 2003 eTravelWay.com All rights reserved โดย บริษัททัวร์ วีอาร์ เอนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด
ใบอนุญาตนำเที่ยวในและต่างประเทศเลขที่ 11/11450
facebook
tel
TOP